คิวบาแว๊บเข้ามาในหัวเราย้อนไปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 2015 จำไม่ได้ว่าอะไรมาดลใจ เราเห็นรีวิวการท่องเที่ยวเยอะขึ้น เริ่มจริงจังกับการหาข้อมูล หันไปหาเพื่อนๆ รอบตัว หลายคนก็ดูสนใจ แต่หาคนไปเที่ยวด้วยกันยากเหลือเกิน ด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้เอาซะเลย แน่นอนเราไม่ได้คิดจะไปแค่สิบวัน อยากไปสัก 30 วัน เพื่อนๆ โบกมือบายๆ ทุกคน ในขณะที่หาข้อมูลไป เราก็โพสต์ลง Facebook ไปเรื่อย ๆ มีอยู่ช่วงนึงโพสต์เกือบทุกวันดั่งคนบ้า จนมีเพื่อนคนนึงมาถามว่า นี่คิดจะไปกี่วัน แพลนยังไง เราก็เลยรีบจบการขายด้วยการบอกว่าไม่ต้องทำไรเลย ไปด้วยกันพอ เดี๋ยวแพลนให้ แค่คอยจองตั๋วตามที่บอกก็พอ ลากกันมาแบบนั้นแหละ
จริงๆ แพลนจะไปตั้งแต่ปีค.ศ. 2018 แต่ด้วยภาระการงานของเพื่อน เราเลยจำเป็นต้องเลื่อนมาปีนี้ แพลนคิวบาจาก 30 วัน เหลือ 18 วัน เนื่องจากแพลนงอกไปเม็กซิโกด้วย แต่ตอนนี้ขอยกพื้นที่ทั้งหมดให้ “คิวบา”


เมื่อพูดถึงคิวบา คนมักจะนึกถึงแต่ Havana (ฮาวาน่า) ซึ่งก็ไม่แปลกนัก เพราะ Havana เป็นเมืองหลวง และทุกอย่างก็รวมศูนย์อยู่ที่นี่ เสน่ห์ของเมืองที่เราได้สัมผัสมันก็น่าหลงใหลจริง ๆ ภาพตึกเก่าสไตล์โคโลเนียลสีสันฉูดฉาด รถวินเทจอเมริกัน เสียงดนตรี เสียงผู้คนตะโกนคุยกัน รถเข็นเร่ขายของ ทุกอย่างทำให้ Havana อู้ววว นานา จริงๆ ตั้งแต่เท้าเหยียบสนามบินก็รู้ทันที่ว่าที่นี่ไร้กาลเวลา ทุกๆ ขั้นตอนล้วนไร้การเร่งรีบ การรอคอยเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่รอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กว่าเจ้าหน้าที่ ต.ม. จะประทับตราให้เราผ่านเข้าไปได้ จ้องมองหน้าเราหลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเราจริงๆ ผ่านด่านตรงนี้มา ก็ต้องไปรอกระเป๋า ขนาดมีไฟลท์พวกเราไฟลท์เดียวตอนนั้นที่ลง แต่รอกระเป๋านานมาก ตั้งแต่วินาทีนี้เราก็เข้าใจเลยว่า อยู่คิวบา นาฬิกาไม่มีความหมาย เราติดต่อกับโฮสท์ให้ส่งแท็กซี่มารับ เพราะขี้เกียจต่อรองราคากับแท็กซี่สนามบิน เรายังไม่ชินกับประสบการณ์ใหม่ ขอเก็บแรงไว้ก่อน ออกมาจากด้านในก็เจอพี่แท็กซี่ก็ยืนถือป้ายชื่อเราเต็มยศ อุ่นใจแล้ว หลังจากนั้นเราก็บอกแท็กซี่ว่า รอก่อนนะ ต้องแลกเงิน แถวแลกเงินที่ไม่ยาวเท่าไรเลย แต่ก็รอค่ะ รอจนฝรั่งข้างหน้าบ่นว่า เค้านับเงินเหมือนแลกเงินเป็นล้านเลย 555 ทำไงได้ มีที่แลกเงินอยู่ที่เดียว ก็ได้แค่บ่น สุดท้ายทุกอย่างก็ราบรื่น และได้นั่งแท็กซี่ออกจากสนามบินสักที

มาถึงที่พักก็มิวายมีเรื่องให้พี่คนขับแท็กซี่พามาส่งหน้าบ้าน กดกริ่งไม่มีใครตอบ พี่เค้าเลยตะโกนขึ้นไป (บ้านอยู่ชั้น 3) ด้วยความดังระดับ 80 เดซิเบล (อยู่คิวบาตะโกนคุยกันชั้นล่าง ชั้นบนเป็นเรื่องปกติมาก) สรุปว่าป้าข้างบ้านเปิดบ้านให้เข้าไปรอก่อน เพราะเจ๊เจ้าของบ้านไม่อยู่ ป้าก็ต้อนรับขับสู้ดี หาน้ำผลไม้มาให้ดื่มรอ คุยกับป้าเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ป้าพูดภาษาสเปน ส่วนเราสื่อสารภาษาอิตาเลียนพอได้ ก็พอจะเข้าใจกันได้บ้างนิดๆ หน่อย นั่งยิ้มใส่กันสักพักเจ้าของบ้านก็มา แล้วก็ร่ายยาวถึงธุระที่นางติดพันตั้งแต่เช้า และค่อยแนะนำส่วนต่างๆ ของบ้าน และเม้าคนข้างบ้านให้ฟังด้วย แต่ต้องยอมรับว่าคุยกับเจ๊ก็ได้เกร็ดการเอาตัวรอดใน Havana เยอะทีเดียว แถมบ้านเจ๊มี Wi-Fi ฟรีนะจ๊ะ ฟรีแบบที่ไม่ต้องซื้อบัตรมาขูดๆ ด้วยนะเออ ไม่ธรรมดา หนึ่งเดียวในคิวบาเลยก็ว่าได้ โรงแรมห้าดาวยังไม่มี Wi-Fi ฟรีให้เลยนะ

สองวันกว่าๆ ใน Havana เราไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ หรือโบสถ์ใดๆ (และโบสถ์ส่วนมากก็ปิด ไม่รู้ใช้งานได้จริงเปล่า) ส่วนมากเดินถ่ายรูปจากภายนอก หากถามเราว่าพิพิธภัณฑ์ไหนที่ควรเข้าใน Havana เราก็จะไม่มีคำตอบ แต่หากถามว่า Mojito ที่ไหนอร่อยที่สุด เรามีคำตอบให้เสมอ อยู่คิวบาเราดื่มแบบไม่มีเวลา ไม่มีการตรวจบัตรใดๆ ทั้งสิ้น กินข้าวเช้าเสร็จ เดินออกจากที่พักยังไม่พ้น 200 เมตรดี หันไปมองหน้าเพื่อน แล้วตรงไปที่บาร์ใกล้บ้าน ด้วยความที่อากาศช่วงที่เราไปค่อนข้างร้อนอบอ้าว ค็อกเทลจึงเป็นคำตอบของความกระหายทั้งปวงดื่มได้ตั้งแต่เช้า ยันดึก แหวกกฎเกณฑ์ทั้งปวงของโลกใบนี้

แน่นอนด้วยความที่เป็นนักท่องเที่ยวสายบันเทิง เราจึงต้องลิ้มรสทุกอย่าง ไม่เว้นซิก้า เราเริ่มต้นซิการ์มวนแรกกันที่ Cigar Lounge สำหรับคนที่ลองเป็นครั้งแรก ควรเข้าเลานจ์ดีที่สุด สงสัยอะไรถามพนักงานไปตรงๆ เลยค่ะ เราให้เค้าแนะนำทั้งการเลือก และการสูบว่าสูบยังไง 555 ซึ่งดี พี่เค้าก็แนะนำพร้อมกำกับมาว่า ดื่มค็อกเทลที่มีรสหวานอมเปรี้ยวไปด้วยจะเข้ากันเป็นอย่างดี ผลก็เป็นไปตามนั้น เคลิ้มๆ เพลินๆ

กิจกรรมอีกอย่างที่ต้องทำเมื่อมาถึงคิวบาคือ นั่งรถ Classic Car ชมเมือง ราคาก็แล้วแต่ความสามารถในการต่อรอง พวกเราก็เชื่อมั่นใจเจ๊เจ้าของบ้านพัก ให้นางติดต่อให้ แล้วก็ได้รถสีนมเย็นมานั่งสวยๆ

เมืองต่อไปคือ Baracoa เมืองที่อยู่ไปทางตะวันออกสุดเกาะคิวบา เราจองตั๋วเครื่องบินสามเดือนก่อนเดินทาง แต่หลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็มีอีเมล์มาแจ้งว่าไฟลท์นี้ยกเลิก ให้เราบินอีก 3 วันถัดไปจากแพลนเดิม คิวบาเล่นเราแล้วไง ทำไงล่ะทีนี้ ด้วยความที่ Havana – Baracoa มีแค่ 2-3 ไฟลท์ต่อสัปดาห์ บินโดยสายการบินแห่งชาติคิวบา Cubana พอโดนยกเลิกแล้วเคว้งคว้างมาก จ่ายก็แพง ยังโดนเทง่ายๆ เราเลยขอคืนเงินเต็มจำนวน

หนทางไปให้ถึง Baracoa ก็เหลือแค่รถทัวร์แล้ว ด้วยระยะทางประมาณหนึ่งพันกิโลเมตร รถทัวร์จึงกินเวลาถึง 18 ชั่วโมง นี่มันนั่งเครื่องบินกรุงเทพ นิวยอร์กแล้วเธอ โอย แต่ไม่มีทางเลือก เราอยากไปเมืองนี้มาก รีวิวที่หามาได้ก็ไม่เยอะหรอก แต่รู้สึกว่าตั้งใจแล้ว ยังไงก็ต้องไป 18 ชั่วโมงก็เอาวะ รถทัวร์ทางไกลนี้มีคนขับรถ 2 คน ซึ่งจริงๆ เราไม่รู้หรอกนะว่าเค้าผลัดกันขับ หรือแค่มีไว้ให้ผู้โดยสารอุ่นใจ ขับไปพี่เค้าแวะตลอดทางโดยไม่ต้องกลัวว่าจะปวดฉี่ คือแทบจะแวะทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่เราชอบนะ ได้ลงไปรับความอบอุ่นมาก ข้างในรถเหมือนอยู่เทือกเขาแอลป์ หนาวเหลือเกิน ทุกครั้งที่รถทัวร์แวะจอดรับคนตามสถานี เราจะลงไปเข้าห้องน้ำ และทุกๆ สถานีก็เหมือนกัน คือฉี่ทับกันไปเรื่อยๆ แล้วคนเฝ้าประตูที่คอยเก็บเงินค่าเข้าห้องน้ำ จะเข้ามาราดน้ำตอนที่คนสุดท้ายเข้าเสร็จ 555 จากการเข้าห้องน้ำทั่วประเทศ เราสรุปได้ว่า ระบบประปาที่คิวบาค่อนข้างแย่ ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่ใช้ชักโครกน้ำจะเข้าระบบไม่ทัน เลยต้องเข้าห้องน้ำทับกันไปเรื่อยๆ พอเสร็จคนเฝ้าห้องน้ำจะมาทำความสะอาดเอง ฉี่ไปก็ได้แต่ภาวนาไปว่า อย่ากระเด็นใส่ชั้นเลย แต่ห้องน้ำไม่เหม็นนะ อันนี้พอไหว
สุดท้ายก็มาถึง Baracoa แล้วก็ชอบเมืองนี้มาก ตั้งแต่บ้านพัก โฮสท์ ชาวบ้าน อาหาร คือดีมาก ประทับใจ ภายใต้ความยิ้มแย้ม ใจดี ชวนคุย ไม่ได้แฝงมาด้วยการขายของ ขายทัวร์ ขายทุกอย่างที่จะขายได้ แบบที่เรามักพบเจอใน Havana ความเป็นมิตรของคนที่นี่คือเป็นมิตรอย่างจริงใจ ไร้แอบแฝง Baracoa เป็นเมืองเล็กๆ ติดทะเล มีกิจกรรมนอกเมืองให้เลือกทำเยอะแยะ เหมาะกับคนชอบกิจกรรม Outdoor

เจ้าของบ้านที่ไปพักเป็นคู่เกย์ชาวแคนาเดียนกับคิวบา น่ารักมากทั้งสองคน Roberto คนแคนาดา ส่วน Manuel ชาวคิวบา Roberto เล่าว่าเค้าได้ตัดสินใจมาอยู่ Baracoa ประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ค่อยๆ สร้างบ้าน แล้วลองเปิดเป็นบ้านพัก ช่วงนี้ก็ไปๆ มาๆ ระหว่างแคนาดาและคิวบา อยู่ที่ละ 3-4 เดือน แต่ธุรกิจเริ่มไปได้ดี และคิดว่าจะอยู่คิวบานานขึ้น บ้านน่ารักมากจริงๆ สมกับชื่อ Villa Paradiso เพราะตื่นเช้ามาจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมวิวแบบนี้ทุกวันเลย 🙂

หลังจากฟัง Roberto เล่าถึงกิจกรรมหลากหลายที่มีให้เลือกทำในละแวกนี้ เราจึงตกลงใจไป Hiking ที่ El Yunque เขารูปโต๊ะที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ ระหว่างทางก็เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ผ่านสวนโกโก้ เพิ่งเคยเห็นผลโกโก้ก็ครั้งนี้แหล่ะ ไกด์เด็ดผลจากต้นแล้วให้ลองกินดิบๆ ด้วยนะ รสชาติคล้ายๆ น้อยหน่า แปลกๆ ดี เดินผ่านต้นไม้แปลกๆ เดินข้ามแม่น้ำ อีกนิดเดียวต้องว่ายน้ำข้ามแล้วอะ เดินทีเปียกไปถึงเอว ผ่านจุดนั่งพักก็มีลุงมาขายผลไม้เมือง ผลไม้หลายๆ ชนิดก็คล้ายบ้านเรานะ แต่รสชาติก็ต่างไปบ้าง เช่น ฝรั่ง ที่นี่จะเนื้อสีชมพู หวานเหมือนกัน และบางอย่างก็หาไม่ได้ในไทย จ่ายเงิน 1 CUC (ประมาณ 1 USD) กินได้ทุกอย่างตามต้องการ ถือว่าช่วยๆ คนท้องถิ่นให้มีรายได้


เดินต่อกันไปสักพักก็ถึงยอดเขา แล้วฝนก็ตก เราเลยนั่งพักจนฝนซา เดินลงเขาไปน้ำตกต่อ น้ำตกที่เห็นจากรูปว่าน้ำใสมาก สรุป สีดั่งน้ำป่ามาแรง ฝนตก น้ำเลยเป็นเช่นนี้ ทำได้แค่ว่ายน้ำเล่นแถวๆ นั้น จะเดินข้ามแม่น้ำไปเล่นน้ำตกแบบปกติไม่ได้ ต้องว่ายน้ำไป แล้วน้ำเชี่ยวไง ว่ายน้ำก็ไม่แข็ง เลยเล่นน้ำอยู่ริมฝั่งแค่พอให้หายเหนื่อยจากการเดินขึ้นเขา

อีกวันก็ไปเดินอุทยานแห่งชาติ Alejandro de Humboldt ที่นี่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกโดย Unesco ด้วยนะ เพราะว่ามีพันธุ์ไม้ และสัตว์ที่หลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เราได้เจอนก สัตว์เลื้อยคลาน และต้นไม้แปลกๆ หลายชนิด จบวันด้วยการเล่นน้ำตกสมใจอยาก น้ำใสมาก นักท่องเที่ยวถือว่าน้อยมากจริงๆ สองวันที่มา Hiking แถวนี้เจอนักท่องเที่ยวแทบไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ หลังจากเดินป่าเสร็จก็ได้แวะทะเล เสียดายที่ฝนตก เราเลยนั่งดื่มค็อกเทล และเบียร์เคล้าเสียงฝนกับเพื่อนร่วมเดินป่าชาวเยอรมันที่มาคิวบากันแล้วเป็นครั้งที่สองในระยะเวลาห่างกันแค่ครึ่งปี!!!



วันนั้นหลังจากจบการเดินป่า พวกเราตัดสินใจว่าจะไปกินอาหารมังสวิรัติกัน ร้านที่เจ้าของบ้านแนะนำว่า ไปลองเหอะ มันดีจริงๆ เจ้าของร้านมี Passion ในการทำอาหารมังสวิรัติมาก เค้าทำอาหารจากใจ ศึกษาวัตถุดิบท้องถิ่น และนำมาทำอาหารให้รสชาติเข้ากันได้ดี นักท่องเที่ยวสัญชาติหลากหลายในบ้านหลังนี้ทั้งหมดหกชีวิต รวมเราสองคนเลยตัดสินใจว่าไปกินด้วยกันที่ร้านนี้นี่แหล่ะ เราเดินหาร้านกันสักพัก จนต้องเอ่ยปากถามคนแถวนั้น ทุกคนร้องอ๋อ เพราะร้านอาหารที่กินแต่ผักหญ้าคงมีร้านเดียวในเมืองนี้ 555 เข้าไปด้านในเจ้าของร้านและภรรยาก็น่ารักมาก ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขณะกำลังเตรียมอาหารอย่างขะมักเขม้น พวกเราก็สนุกกับการดูบรรยากาศร้านเล็กๆ แห่งนี้ เค้าจะเตรียมอาหารประมาณ 10 อย่างได้ ให้พวกเราตักกินกันจนอิ่มหนำ Concept ของร้านดีมาก เด็ก และสตรีมีครรภ์เข้ามาทานได้ฟรี อาหารอร่อยมาก มีรสชาติจัดจ้านดี บางอย่างเราตักกินถึง 3 รอบ 555 ค่าเสียหายเค้าก็ขอให้ช่วยกันคนละ 10 CUC ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยจริงๆ


ก่อนจากเมืองนี้ไปเราแวะไปเดินเล่นริมหาด แล้วก็ให้นึกเสียใจว่า ทำไมไม่มาเดินแถวนี้ก่อนหน้านี้วะ น้ำใสเหลือเกิน นักท่องเที่ยวไม่มีเลย มีแต่ลูกเล็กเด็กแดงมากระโดดน้ำเล่นตู้มตู้ม น่าสนุกสนานสำราญใจจริงๆ นั่งเล่นถ่ายรูปจนหนำใจก็ได้เวลาอำลาจากกัน เราสองคนกลับที่พัก สักพักรถสามล้อถีบก็มารอรับเราไปสถานีรถบัส วันนี้นั่งอีก 5-6 ชั่วโมง ตอนนี้อะไรก็ไม่สะท้าน หลังจากผ่านประสบการณ์ 18 ชั่วโมงมาแล้ว 555 ร่ำลา Roberto และ Manuel ให้คำสัญญาว่าชั้นจะกลับมาใหม่นะ


นั่งรถมาครึ่งวัน เรามาถึง Santiago de Cuba กันช่วงเย็นๆ ที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่าของคิวบาสมัยที่ยังอยู่ในอาณานิคมสเปน ดังนั้นที่นี่จึงเป็นเมืองสำคัญ และใหญ่เป็นลำดับที่สองรองจาก Havana นอกจากนี้ Santiago de Cubaยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญสำหรับการปฏิวัติคิวบา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1953 เป็นวันที่กลุ่มปฏิวัตินำโดยฟิเดล คาสโตร ทำการโจมตีค่ายทหารของรัฐบาล Battista ที่นี่ แต่ปฏับัติการในครั้งนั้นล้มเหลว และฟิเดลก็ถูกจับ แต่ความเคลื่อนไหวในครั้งนั้นถือเป็นเหตุการณ์ และจุดเริ่มต้นสำคัญของการปฏิวัติคิวบา โดยวันที่ 26 กรฎาคม ของทุกปี ถือเป็นวันชาติคิวบา ซึ่งมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศอีกด้วย

เราใช้เวลาไปกับการเดินเล่น ดูบ้านดูเมือง ซึ่งในช่วงกลางวันร้อนมากๆ เพราะแดดนั้นแรงเหลือหลาย ผู้คนไม่รู้หายไปไหนกันหมด พอแดดร่มลมตกเท่านั้นแหล่ะ ผู้คนออกมาเดินกันขวักไขว่ นั่งเล่นหน้าบ้าน เม้ากับคนข้างบ้าน Santiago de Cuba คึกคักทันทีหลังพระอาทิตย์อ่อนแรง เราอยู่ที่นี่กันสองวัน เราว่าสภาพบ้านเมืองโดยรวมของเมืองนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเมือง Naples ในอิตาลี ตึกสไตล์โคโลเนียล เก่าๆ พังๆ ชุมชนอยู่กันหนาแน่น อีกทั้งยังเป็นเมืองท่าใหญ่ของประเทศ คนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยอาจจะไม่ชอบสักเท่าไร แต่สำหรับเรามันคือเสน่ห์ที่ทำให้เราคิดถึงเมืองนี้บ่อยๆ




ไปต่อกันที่ Trinidad เมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกโดย Unesco อาคารสีสันสดใสสวยงาม เป็นเมืองในหุบเขา ที่ซื้อทัวร์ขี่ม้าออกไปเดินป่า เล่นน้ำตกได้ ที่บอกนี้เราไม่ได้ไปหรอกนะ เราเลือกไปทัวร์ดำน้ำตื้นที่เกาะ Cayo Blanco ดูภาพจากการโฆษณา และอ่านข้อมูลจาก Lonely Planet แล้วจินตนาการถึงทะเลแคริบเบียน หาดทรายขาวๆ น้ำทะเลใสวิ้ง ตกลงใจซื้อทัวร์กับเอเจนซี่ นางยังบอกอีกว่า ราคานี้รวมอาหาร Soft Drink และ National drink แบบไม่อั้น ในใจคิดละ หูย National Drink นี่ Mojitoทั้งวันแน่ๆ วันรุ่งขึ้นก็มีรถมารับไปที่ท่าเรือ สิ่งที่เจอจริงๆ คือ น้ำใส แต่ปะการังไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับบ้านเรา ฉะนั้นใครมาคิวบา ไม่ต้องมาดำน้ำนะคะ เราเตือนแล้ว ส่วนหาดที่เค้าพาเราไปแปะไว้ก็เป็นหาดที่เล่นน้ำไม่ได้ เพราะหน้าหาดเต็มไปด้วยหินปะการังแตกหัก เล่นน้ำอาจจะได้บาดแผลมาแทน เลยจบที่นั่งอาบแดดสวยๆ และจิบเบียร์ดับร้อน ส่วน Mojito ที่คิดไว้นั้น ความจริงคือ รัม Havana Club เพียวๆ พี่เค้าไม่ได้ชงค็อกเทลให้อะเธอ แต่มีน้ำอัดลมรสชาติแบบสไปรท์กลิ่นมะนาว ผสมกันเองก็ได้ค่ะ สรุปคุณหลอกดาวมาดำน้ำ และดื่ม Mojito ปลอมๆ กรี๊ด ใครมาTrinidad ไม่ต้องมาดำน้ำนะคะ ไปทัวร์ขี่ม้า ล่าน้ำตกน่าจะดีกว่า!



Trinidad เป็นเมืองเล็กๆ ที่คึกคักมากทีเดียว นักท่องเที่ยวเยอะ ระยะทางก็ไม่ไกลจาก Havanaมากเท่าไร นั่งรถ 5-6 ชั่วโมงได้ เริ่มเห็นคนเอเชียบ้าง ส่วนมากเป็นคนเกาหลี เค้ามาคิวบา ตามรอยซีรีย์ดัง Encounter หรือเปล่านะ เพราะเราก็ดู และกรี๊ดพระเอก 555 นักท่องเที่ยวเยอะ ค่าครองชีพก็จะแพงกว่าเมืองอื่นๆ หน่อย ซื้อของหากร้านไหนไม่มีป้ายราคา กรุณาถามก่อนซื้อ พวกเราเจอกันมาแล้ว ซื้อน้ำเปล่าสองวัน คนละราคา!! ต้องยืนยันกับแคชเชียร์ว่าเมื่อวานชั้นซื้อราคานี้นะจ๊ะ นางตะโกนถามเพื่อนร่วมงาน จนเจ๊คนนึงบอก เออก็ขายไปก็ได้ คือไรอะ เห็นเราเป็นต่างชาติ ก็เลยขายคนละราคาหรอ แคชเชียร์จะคิดราคายังไงก็ได้หรอ คือไร? นี่คือเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตดูมีมาตรฐาน ที่ไม่ใช่ร้านขายของชำทั่วไปด้วยนะ ยังเกือบโดนโกงเลยอะ






เราเดินทางออกจาก Trinidad ไป Santa Clara ด้วยแท็กซี่ Colectivo เพราะจองรถทัวร์ช้า และรอบที่อยากไปเต็มจ้า Colectivo นี้ เป็นแท็กซี่ที่คนขับจะมาเดินถามนักท่องเที่ยวว่าจะไปเมืองไหน เค้าก็จะนัดวัน เวลา แล้วเค้าจะไปหาคนมาให้เต็มรถ เป็นการหารค่ารถกันนั่นเอง การนั่ง Colectivo ในคิวบาถือเป็นความท้าทายอย่างนึง ในการต่อรองราคา สนุกสนานกับการต่อราคาแบบพอประมาณ ได้ราคาน่าพอใจ เราก็ตกลงกับพี่เค้าไป ไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า แค่ให้ที่อยู่ที่เราพัก เค้าจะมารับตามวันและเวลานัด ตรงเวลานะเออ Colectivo จะใช้เวลาน้อยกว่ารถทัวร์ และจะไปส่งเราถึงหน้าประตูที่พักของเมืองปลายทางเลย จริงๆ สะดวก และประหยัดเวลา ถ้าเดินทางระยะไม่ไกลมากก็คุ้มกว่านะเราว่า ไม่ต้องไปหาแท็กซี่จากสถานีรถบัสเข้าเมืองอีก


นั่งรถมาจนถึง Santa Clara ที่พักดีมาก มีฝักบัวตรงชักโครกด้วย เริ่ด วัฒนธรรมเอเชียนี้เดินทางมาถึงคิวบาแล้ว Santa Clara เป็นเมืองที่ค่าครองชีพถูกมาก เรากินดื่มกันอย่างราชา เมืองนี้เราเจอ Mojito ถูกที่สุดตั้งแต่เดินทาง ในราคา 1.5 CUC คนก็น่ารักมากๆ ไม่ตื๊อเวลาขายของ ไม่ต่อความยาว สภาพบ้านเมืองสะอาด ดูเป็นระเบียบมากกว่าเมืองอื่นๆ พวกเรามีเวลาว่างขนาดไปดูถ่ายทอดสดฟุตบอล Copa America คิดว่าจะมีคนดูล้นหลาม อยากคึกคัก ปรากฏว่ามีแต่นักท่องเที่ยว รวมพวกเราด้วย 6 ชีวิต ดูแบบเหงาๆ กันไป 555 ทำให้รู้ว่ากีฬาที่คนคิวบาให้ความสำคัญนั้นคือเบสบอล ฟุตบอลแทบจะไม่เป็นที่นิยมเลยในประเทศนี้



Varadero เป็นเมืองตากอากาศริมทะเล ที่มีแต่นักท่องเที่ยว แต่ว่ามาเหอะ หาดยาว 18 กิโลเมตร ที่ีมีแต่ทรายขาวๆ ละเอียดๆ น้ำนิ่งมาก ใสมาก สระว่ายน้ำดีๆ นี่เองอะ อาหารก็มีให้เลือกหลากหลายสัญชาติ เผื่อเที่ยวกันนานๆ อาจจะเบื่ออาหารคิวบา ก่อนมาเที่ยวเจอแต่คนบ่นว่าอาหารไม่อร่อย แต่โดยรวมที่เจอมาพวกเราประทับใจอาหารที่นี่นะ บางอย่างก็อร่อยมาก ล็อบสเตอร์สดๆ 3 ตัว 8 CUC ก็หากินได้ที่คิวบาเนี่ยแหล่ะ! อยู่ที่นี่ กิจกรรมคือนั่งอ่านหนังสือที่ชายหาด เล่นน้ำ พักผ่อนเต็มที่ ลุงเจ้าของเก้าอี้ชายหาดที่พวกเราไปนั่ง พยายามขายทัวร์ดำน้ำอยู่หลายรอบ แต่เราเรียนรู้แล้ว ขอเล่นน้ำนิ่งๆ ดีกว่า 555 อยู่ Varadero เจอฝนทุกบ่ายเลย ยังดีช่วงเช้าอากาศดี ฟ้าใส มีแดด พอตกบ่ายแก่ๆ ฝนมาละ แล้วตกทีคือฟ้ารั่ว! ใครชอบทะเล แนะนำที่นี่ค่ะ ห่างจาก Havanaแค่ 2-3 ชั่วโมงเอง


เราเดินทางมาถึงสองคืนสุดท้ายใน Havana ก่อนบินออกจากคิวบา การกลับมา Havana หลังจากไปรู้จักคิวบารอบเกาะมาประมาณสองสัปดาห์ Havana เลยกลายเป็นเหมือนบ้านเก่าที่คุ้นเคย ที่พักที่เดิม เดินด้วยความมั่นใจเพิ่มขึ้น ความระแวงน้อยลง แต่ก็ระวังตัวปกติ รอบนี้เราอยากไปสำรวจ Vedado ย่านเมืองใหม่ ตอนแรกกะจะนั่ง Coco Taxi แต่ขี้เกียจต่อรองราคา เลยตกลงกันว่า รถเมล์ละกันนะมึง สนุกแน่ๆ ขึ้นไปปุ๊บหยอดเหรียญลงกล่อง นั่งไปแบบสบายใจสักพัก เฮ้ย ทำไมเหมือนออกนอกเมืองวะ ชิบหายละ ผิดฝั่งค่า หันไปถามพี่ข้างๆ เพื่อความแน่ใจ รถเมล์ก็เบียดเสียด พี่เค้าใจดีบอกว่า เดี๋ยวอีกสองป้ายพวกยูค่อยลง เป็นป้ายรถเมล์ใหญ่ พอถึงก็ลงไปเจออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 555 ร้านขายอาหารเยอะมาก แวะหน่อยๆ กินกาแฟ แล้วค่อยไปต่อ รอรถอย่างไม่รู้ว่ามันจะมาถี่แค่ไหน แต่เชื่อใจได้ ไม่ช้ารถก็มา รอบนี้มีกระเป๋ารถเมล์เว้ย ถามพี่เค้าเพื่อความแน่ใจ ว่ารอบนี้เราจะไม่พลาด 555 จ่ายเงินแล้วยืนยาวๆ รถเมล์แน่นมากเวอร์ ลงรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยฮาวานา แคมปัสใหญ่มาก ไม่รู้กว้างแค่ไหน เดินผ่านหลายคณะ และมีหอพักนักศึกษาที่ดูน่าอยู่อาศัยทีเดียว ย่านนี้มีบ้านใหญ่โตเยอะ แต่ก็ดูเป็นบ้านร้างหลายหลัง ถนนใหญ่โตโอ่อ่า มีต้นไม้ใหญ่รายล้อมมากมาย แล้วก็ทำให้นึกถึงกรุงเทพบ้านเรา ต้นไม้ใหญ่ๆ แบบนี้ในเมืองหายากเหลือเกิน เดินสำรวจไปจนถึงศูนย์กลางย่านนี้ พบว่าจริงๆ แล้วเค้าเจริญนะคะ มีโรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ผู้คนแต่งตัวปกติ ไมไ่ด้ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เหมือนผู้คนใน Old Havana ใครมา Havana อย่าลืมแวะมาแถวนี้นะ เป็นการเปิดโลกว่าจริงๆ แล้ว Havanaไม่ได้ล้าหลังเลย



คิวบาที่เค้าว่าให้รีบๆ มาเพราะกำลังจะเปลี่ยนแปลง เราว่าคิวบาก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้วเหมือนกับที่อื่นทั่วโลก เพียงแค่ตอนนี้กระแสความเจริญกำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยที่เห็นหลักๆ เลยคือจีนเข้ามาลงทุนเยอะมากนะคะ ไหนจะรถเมล์เป็นยี่ห้อจีนทั้งนั้น โรงแรม 5-6 ดาวที่กำลังสร้างอยู่ ใหญ่โตอลังการ ทัวร์จีนก็เริ่มมีให้เห็นใน Havana แล้ว ล่าสุดที่เราเห็นข่าวคือรถไฟแบบใหม่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนกรกฎาที่ผ่านมานี้เอง ก็เป็นรถไฟจากจีนอีกเช่นกัน ก่อนจากกันไปเราอยากบอกว่า มาเถอะค่ะ คิวบาไม่อันตรายเลย มาคนเดียวก็ได้ แต่ถ้ามีเพื่อนมาจะสนุกกว่า เพราะนั่งดื่ม Mojito คนเดียวเหงาเกินไปแล้ว
