fbpx

‘วิ่งเปลี่ยนโลก’ เมื่อโลกยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยการวิ่ง

หลายเหตุผลที่ทำไมการวิ่งมาราธอนถึงกลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมของคนยุคใหม่

ลองหันไปดูรอบตัวแล้วถามตัวเองว่ามีเพื่อนที่วิ่งมาราธอนกี่คนในตอนนี้? ถ้าย้อนกลับไปสักห้าปีก่อน คงนับได้น้อยมาก แต่ทุกวันนี้ การวิ่งมินิมาราธอน หรือแม้แต่มาราธอนกลับกลายเป็นเรื่องปกติได้อย่างเหลือเชื่อ คนที่วิ่งก็คว้าเหรียญมาครอบครองกันเป็นว่าเล่น และแน่นอนว่ารูปตอนวิ่งของเหล่ามาราธอนเนอร์ก็กระจายเต็มฟีดโซเชียลมีเดียเป็นพรืดไปหมด… จะว่าอยู่ดีๆ คนไทยก็เกิดแข็งแรงพลานามัยดีอย่างกะทันหันก็คงไม่ใช่ เพราะปัจจัยที่ทำให้การวิ่งมาราธอนกลายเป็นกิจกรรมฮ็อตฮิตนั้นมีหลากหลายจริงๆ

ที่มาของ ‘มาราธอน’
อันที่จริง คำว่า ‘มาราธอน’ เป็นเมืองๆ หนึ่งในประเทศกรีซ ในปีที่ 490 ก่อนคริสตศักราช ผู้ชายคนหนึ่งได้วิ่งจากเมืองมาราธอนนี้ไปยังเอเธนส์ เพื่อประกาศถึงชัยชนะของกรีซที่มีต่อเปอร์เซียในสมรภูมิที่เมืองมาราธอนนี่เอง แม้ว่ากองทัพเปอร์เซียจะมีมากกว่าถึง 6 เท่า ในตอนนั้น ระยะทางระหว่างทั้งสองเมืองอยู่ที่ 280 ไมล์ และใช้เวลาวิ่งทั้งหมด 10 วัน ต่อมา การวิ่งมาราธอนได้ถูกบรรจุเป็นกีฬาที่ใช้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิกส์ที่กรีซในปีค.ศ. 1896 

Battle of Marathon

วิ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ
จากเดิมที่เคยจำกัดอยู่แค่ในหมู่นักกีฬาหรือนักวิ่งเฉพาะกลุ่ม การวิ่งมาราธอนเริ่มแพร่หลายมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 และดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน การแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ของคนยุคใหม่ทำให้เกิดการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่เรียกว่า marathon tourism สำหรับเหล่านักวิ่งที่เดินทางไปวิ่งตามจุดหมายต่างๆ ทั่วโลก (เพราะสนามเดิมที่วิ่งอยู่มันไม่ท้าทายอีกต่อไป) และได้ท่องเที่ยวไปด้วยพร้อมๆกัน และแน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ได้สร้างเงินสะพัดในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่นงานวิ่ง Trinidad Alfonso Valencia Marathon 2015 ได้ทำให้รายได้ด้านการท่องเที่ยวของเมืองวาเลนเซียเพิ่มขึ้นถึง 66% ส่วนประเทศฮังการีนั้นรายงานว่าทศวรรษที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานวิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า ส่วนการแข่งขันระดับโลกอย่าง Boston Marathon นั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับเมืองบอสตันถึง 200 ล้านดอลลาร์ในปีค.ศ. 2019

Boston Marathon

วิ่งเพื่อตัวเอง
ทำไมการวิ่งจึงเป็นสิ่งเสพติด? คำตอบทางกายภาพอาจอยู่ที่อาการที่เรียกว่า ‘runner’s high’ หรือความรู้สึกดี มีความสุข ปลอดโปร่งที่เกิดขึ้นจากการวิ่งอย่างต่อเนื่อง ปฏิกิริยาทางสมองนี้ยังเป็นยาแก้ปวดอย่างชะงัด ช่วยให้นักวิ่งลืมอาการเมื่อยล้าและการเจ็บเท้าไปเลย ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่สมองปล่อยฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินออกมาทำงานนั่นเอง

ส่วนทางจิตวิทยานั้น การวิ่งก็เหมือนกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอที่มีข้อดีมากมาย อย่างเช่น ช่วยบรรเทาความเครียด ช่วยให้มีความสุขยิ่งขึ้น สามารถโฟกัสกับเรื่องต่างๆได้ดีขึ้น ช่วยพัฒนาความจำ และอาจช่วยให้ไอเดียโลดแล่นมากยิ่งขึ้นด้วย และงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าผู้ที่ออกวิ่งอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ เนื่องจากเป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมาย มีระเบียบวินัยในตนเอง และมีความใส่ใจกับสิ่งที่ทำ

ส่วนในด้านภาพลักษณ์ เชื่อว่าการวิ่งมาราธอนตอบโจทย์คนยุคใหม่อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการมีช่างภาพคอยถ่ายภาพตอนวิ่งให้มาแชร์กันบนโลกโซเชียล ดูเป็นคนรักสุขภาพขึ้นมาทันตา แถมในวันนี้ การวิ่งมาราธอนยังได้กลายมาเป็นเครื่องมือในการแสดงจุดยืนทางสังคม อย่างเช่นกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เป็นต้น

อยากเริ่มวิ่งต้องทำยังไง?
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “การวิ่งนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ 90% และเป็นเรื่องของร่างกาย 10%” สิ่งที่ยากกว่าการก้าวข้ามผ่านความเหน็ดเหนื่อยคือการบังคับให้ตัวเองวิ่งได้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงดี อาจเริ่มจากการเซ็ตเป้าหมายที่มีลักษณะ ดังนี้
1. จำเพาะเจาะจง กำหนดไปเลยว่าต้องวิ่งให้ครบสามกิโลเมตร ไม่งั้นไม่หยุด หรือวิ่งติดต่อกันครึ่งชั่วโมง เป็นต้น
2. วัดผลได้ ควรแน่ใจได้ว่าเก็บผลการวิ่งเสมอ เพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการ
3. ปรับเปลี่ยนได้ สมมติว่าเกิดบาดเจ็บขึ้นมาก็ปรับให้เข้ากับจังหวะของตัวเอง ไม่หักโหมจนเกินไป
4. อยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง อย่าตั้งเป้าไว้สูงเกินไป เพราะถ้าทำไม่ได้ก็จะผิดหวังแล้วล้มเลิกไปซะก่อน เริ่มจากน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มดีกว่า
5. หมั่นดูเวลา เปรียบเทียบเวลากับระยะทางเสมอ และนอกจากนี้ยังรวมถึงเวลาสำหรับการซ้อมก่อนเข้าแข่งขันด้วย 

ภาพ: Wikipedia, Boston Marathon facebook

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin
Share on pinterest

More to explore

แผลเก่า:Old Wound แผลเดิมในเรื่องเล่า ที่ยังเป็นแผลสดของพล็อตสังคมไทย

นิทรรศการ แผลเก่า / Old Wound นิทรรศการเดี่ยวโดย ประทีป สุธาทองไทย ศิลปินนักตั้งคำถาม ผู้ซ่อนบทสนทนาทางสังคมไว้ในงานเสมอ

“Yesterday I Was, Tomorrow I Will Be” นิทรรศการแห่งความฝันและความสำเร็จของ “Pomme Chan”

ก้าวสู่โลกที่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่น ผ่านผลงานศิลปะตั้งแต่ชิ้นแรกที่น้อยคนจะได้เห็น สู่วันที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพร่วมระยะเวลา 20 ปี