fbpx

ชีวิตรักในแบบฉบับ Eco Life ของท็อป พิพัฒน์ และ นุ่น ศิรพันธ์

นับเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming กันมากขึ้น เทรนด์การใช้กระเป๋าผ้า การผลิตสินค้ารีไซเคิลก็มีให้เห็นไม่น้อยทีเดียว ที่เราหันมาสนใจโลกใบกลมๆ ที่เรายืนอยู่นี้อาจเกิดจากความกลัวและปัจจัยหลายๆ อย่างที่อาจส่งผลให้เกิดภัยพิบัติ หรือการสิ้นไปของทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งนอกจากทรัพยากรบนโลกนี้แล้ว การทำอะไรเพื่อสังคมก็เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ไม่ใช่แค่รักษ์โลก แต่เราต้องทำอะไรเพื่อคืนสู่สังคมด้วย นี่คือหัวใจสำคัญที่เราได้รับรู้จากการสนทนาระหว่างเรา และคู่รักดาราสาย Eco ท็อป – พิพัฒน์ กับ นุ่น – ศิรพันธ์ ที่บ่มเพาะความรักให้ทุกคนได้เห็นมาเป็นเวลานาน แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ทั้งคู่ได้ทุ่มเทความสามารถมาเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจ Social Enterprise หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม ไปพร้อมๆ กับการรักษ์โลกผ่านการสร้างแบรนด์ที่ทั้งคู่กำลังทำ วันนี้คุณจะได้รู้จักพวกเขาผ่านมุมมองความรัก และมุมมองด้านธุรกิจมากกว่าการเป็นดาราที่เราคุ้นเคย

ธุรกิจที่ทำอยู่ในตอนนี้

ท็อป : ตอนนี้เราทำเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเพื่อสังคมและงานออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราได้เจอจุดที่น่าสนใจคือ เราจะปรับคำว่า Eco ให้กลายเป็น SE (Social Enterpise) เพราะเมื่อ 9 ปีที่แล้วเราเริ่มจากการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะเราจำเป็นต้องมีกำไรเพื่อสามารถไปต่อด้วยตัวเอง เราไม่ใช่มูลนิธิที่รอการบริจาค  ซึ่งมันก็คือ SE หรือการทำธุรกิจเพื่อสังคม เราก็เลยอยากสื่อสารคำๆ นี้ครับ ธุรกิจเราไม่เปลี่ยนไป เราทำงานออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยที่ทำเป็น service ให้ลูกค้าเหมือนเป็น Eco Agency มีผลิตสินค้าของตัวเองภายใต้แบรนด์ O แล้วก็ ECOSHOP ที่กำลังจะปรับให้เป็นออนไลน์เต็มตัว ทำให้เป็นศูนย์รวมคอนเทนต์ที่ขายของได้ด้วย แต่สิ่งที่มันสร้างกำไรให้กับบริษัทส่วนใหญ่ในตอนนี้เลยก็คือ การทำ Eco Agency ให้กับบริษัทต่างๆ ลองดูงานเราได้ที่ www.kidkid.co.th

หัวใจของ Eco ไม่ใช่แค่เราที่รักษ์โลก แต่แบ่งปันให้ความรู้และรายได้กับผู้อื่นด้วย

ท็อป : ผมว่าเราสามารถรักโลกและรักตัวเองไปพร้อมๆกันได้ เช่น โปรเจคหนึ่งที่เราเข้าไปสำรวจชุมชนที่มีเศษขยะเยอะมากเลย เราก็เข้าไปเพื่อสำรวจว่าเศษขยะนั้นเราจะดัดแปลงให้มันกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ได้อย่างไร เพื่อลดปริมาณขยะและสร้างเป็นอาชีพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ฉะนั้นถ้าเราสามารถจัดการขยะกองนี้ได้ มันจะทำให้ขยะในชุมชนลดลง จากนั้นพอเขาได้เงินจากการแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ เค้าก็จะมาต่อยอดเพื่อพัฒนาให้พื้นที่ขยะนั้นกลายเป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ ในชุมชน หรือพัฒนาเป็นสิ่งอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนของพวกเขาต่อไป

Social Enterprise (ธุรกิจเพื่อสังคม) มันให้อะไรกับเรา ทั้งทางจิตใจ และตัวเลข

ท็อป : จริงๆ เป็นนโนบายของบริษัทเราเลย ที่มันต้องไปด้วยกันทั้งสองอย่าง คือมันต้องได้กำไรที่เป็นตัวเงินด้วย แล้วมันก็จะต้องทำให้เกิดคุณค่า จะสังคมหรือสิ่งแวดล้อมก็ได้ บางโปรเจคถ้าได้เงินน้อยหน่อย แต่เกิดอิมแพคในสังคมและสิ่งแวดล้อมเยอะ มันก็น่าสนใจ และทำให้เราตัดสินใจรับงานนี้ หรือถ้าจะพูดกันจริงๆ บางช่วงเราอาจจะต้องทำงานเนี้ยเพื่อให้ได้เงินเป็นหลัก แต่ยังไงต้องขอให้มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือทำให้สังคมสิ่งแวดล้อมมันดีขึ้นด้วย เราจะไม่ทำงานเพื่อหาเงินแบบร้อยเปอร์เซ็นต์โดยไม่สนใจอะไรเลย

แต่ลึกๆ สิ่งที่เราสองคนรู้สึกภูมิใจนะคะ คือเราไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเราได้หรือสังคมสิ่งแวดล้อมได้ เราทำให้คนได้ประโยชน์จากมันด้วย

นุ่น : ในเรื่องของธุรกิจนุ่นต้องตอบโจทย์เรื่องของรายได้บริษัท แล้วมันก็จะต้องมีผลกำไร ในตัวท็อปเขาก็ต้องมองเรื่องของสิ่งแวดล้อมกับสังคม แต่ลึกๆ สิ่งที่เราสองคนรู้สึกภูมิใจนะคะ คือเราไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเราได้หรือสังคมสิ่งแวดล้อมได้ เราทำให้คนได้ประโยชน์จากมันด้วยอะ ตัวนุ่นยิ่งภูมิใจในตัวท็อปใหญ่เลยเพราะว่าสิ่งที่เราทำมันเหมือนอินสไปร์คนด้วย โดยเฉพาะอย่างนุ่นที่เป็นเด็กสายเนิร์ดมาก่อน นุ่นเรียนวิศวอุตสาหการมา นุ่นเลยอยากอินสไปร์เด็กสายเนิร์ดหรือนักวิชาการว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่ได้จบแค่บนกระดาษเท่านั้น งานที่คุณทำมันสามารถต่อยอดให้คนอื่นได้อีกด้วย นุ่นว่าในประเทศไทยเรามีนักวิชาการหรือเด็กรุ่นใหม่ที่เก่งหลายเรื่องนะคะ แต่เขาถูกผลักดันให้ไปอยู่แค่ในบริษัทเท่านั้น ในขณะที่ความสามารถของเขาสามารถนำไปต่อยอดทำอะไรของตัวเองที่จะสามารถช่วยตัวเขาและชุมชนได้ แง่มุมของนุ่นเองนุ่นว่าท็อปเป็นอินสไปร์ที่ดีให้กับเด็ก จริงๆ Social Enterprise มันตอบโจทย์ประเทศไทยนะ ตัวเองได้ด้วย สิ่งแวดล้อม และคนอื่นๆ ก็ได้ด้วยค่ะ

การบริหารงานสไตล์ท็อปและนุ่น

ท็อป : ผมก็จะดูเหมือนเรื่องฝั่งปฏิบัติงานอะครับ ดูด้านครีเอทีฟ และส่วนของโปรดักชั่นในบางจุด ส่วนนุ่นก็จะคอยบริหาร แล้วก็ดูเรื่องการเงินครับ

นุ่น : ส่วนนุ่นจะเป็นตัวเชื่อม อย่างเวลาท็อปดีไซน์งานออกมาแล้วมันต้องทำเป็นฮาร์ดแวร์ เหมือนต้องมีโครงสร้างมีอะไร เราก็จะไปลิ้งค์ว่าเครือข่ายที่เรามี แก็งวิศวะ หรือรุ่นพี่ของเราเขามีโรงงานด้านไหนบ้าง เพราะว่างานดีไซน์บางครั้งมันจะอยู่แค่เฟอร์นิเจอร์ และของไลฟ์สไตล์ แต่นุ่นรู้สึกว่าประเทศเรามันต้องมีนวัตกรรมเข้ามาบ้าง นุ่นก็จะเติมฝั่งนี้ว่าอันนี้น่าจะแมทช์กับคนนี้ได้นะเพื่อพัฒนาให้เป็นโปรดักต์ที่ต่อยอดในด้านนวัตกรรมด้วย

อุปสรรคในการทำงานของคู่รัก

นุ่น : มีงอนกันอยู่แล้ว (หัวเราะ) เนี่ยขึ้นเลยเห็นไหม คือเรามากันคนละสายจริงๆ ค่ะ เชื่อว่าถ้าเกิดนุ่นเรียนมาสายเดียวกับท็อป น่าจะตีกันจริงจัง คือตอนนี้เหมือนเรามีจุดแข็งกันคนละด้าน นุ่นก็รู้ว่าเราไม่ได้เก่งเรื่องดีไซน์เท่าท็อป ก็จะมีความยอมว่าโอเค อันนี้ยอม! เพราะว่าคุณเชี่ยวชาญ แต่ถ้ามาสายเรื่อง cost หรือกระบวนการบางอย่าง ท็อปอย่ามาเถียงนุ่น นุ่นรู้ (หัวเราะ) ถ้าถามว่าทะเลาะกันไหม มีค่ะ แต่เราทำงานมาด้วยกันตั้งแต่ตอนเป็นแฟน เราใส่กันมาเต็มที่ ตอนนั้นแบบว่าสายแข็งทั้งคู่เนาะ จนเรารู้วิธีการทำงานด้วยกันเหมือนมีสมดุลบางอย่าง ตอนนี้พอแต่งงานแล้วมันก็เลยสมูทขึ้นเยอะ

ท็อป : ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องดีนะ คือถ้าผมมาสายดีไซน์แล้วผมไม่ฟังใคร ผมอาจจะออกแบบสินค้าได้ดี แต่อาจไม่มีคนซื้อ แล้วผมก็จะเอาสินค้าดีที่ผมภูมิใจเก็บไว้ดูคนเดียวที่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น พอนุ่นมาเติมเต็มส่วนนี้นั่นแปลว่าผมต้องฟังเขา ถ้าเกิดเราอยากได้ Material ตัวนี้เพราะมันดีที่สุดแล้ว แต่ cost มันไม่ได้ทำมาเสร็จแล้วแพงสุดๆ ก็คงจะไม่มีใครซื้อไปใช้ เราก็ต้องฟังเขาเพื่อให้มันสามารถผลิตได้และก็ขายได้ด้วย ผมคิดว่าถ้าดีไซน์เนอร์มีคนมาเตือนเรื่องงานในส่วนนี้ก็ควรจะต้องฟังนะ อย่าดื้อมาก

ชีวิตหลังแต่งงาน ประนีประนอมกันมากขึ้นไหม

นุ่น :  ท็อปตอบดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่านุ่นใส่ไฟ (หัวเราะ)

ท็อป : ถ้าเรื่องงานผมก็ชอบที่มีเขามาช่วยตัดสินสิ่งที่เราทำด้วย ผมชอบจนแบบไปไหนก็อยากจะให้เขาอยู่ด้วยไปด้วย เพราะเขาจะได้สะท้อนมาให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำเนี่ยมันดีแล้วควรทำต่อไป หรือมันแย่และไม่ควรทำอีก ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวตอนนี้ผมก็ไปปาร์ตี้น้อยลงเยอะมากเลย เมื่อก่อนตอนเป็นแฟนกัน นุ่นเขาก็เป็นห่วงจะคอยถามตลอด มันก็ทำให้เราเตลิด ยิ่งไป ยิ่งกลับสว่าง แต่พอแต่งงานปุ๊ปเขาปล่อย เขาไปส่งผมเลย อยากจะกลับตอนไหนก็แล้วแต่ มันกลายเป็นผมเองที่จะไปน้อยลง สนุกแค่นี้พอแล้ว แล้วผมก็รู้สึกอยากจะกลับบ้านเอง

ท็อปเคยบอกไว้ว่าเป็นแฟนกันถ้าคิดจะแต่งงานกันต้องลองทำงานด้วยกันก่อน คือทะเลาะกันตั้งแต่ตอนเป็นแฟนไปเลย จะได้รู้ว่าเราอดทนกับเขาได้ไหม เพราะถ้าแต่งไปแล้วมันกลับลำลำบาก

นุ่น : ตอนนี้เป็นแบบ อยากไปหาเพื่อนบ้างไหม ไปไหม คือเราอยากมีเวลาส่วนตัว เพราะว่าเราทำงานด้วยกันอยู่ด้วยกันแบบ 24 ชั่วโมงจริงๆ เราก็จะรู้สึกแบบพี่ท็อปไปหาเพื่อนบ้างก็ได้นะ นุ่นจะได้มีเวลาไปนวด ไปโน้นไปนี่ อันนี้ก็เป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวที่เราก็ต้องค่อยๆ ปรับกันไปค่ะ เรื่องงานตัวนุ่นรู้สึกว่าการมีท็อปมาเป็นพาร์ทเนอร์มันดีมาก เพราะว่าตัวนุ่นเองเป็นพวกสาย fact อะ บางทีมันแข็งเกินไป เราจะมองอะไรในแค่มุมเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของธุรกิจหรือการใช้ชีวิตมันต้องบาลานซ์กันนะ บางอย่างมันไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง เวลาไปคุยกับลูกค้ามันต้องมีเรื่องจิตวิทยาด้วย ถ้านุ่นไปเองคนเดียวดีลล้มแน่นอน (หัวเราะ) เพราะเราก็จะตั้งแง่ละว่ามันไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราเรียนมา ท็อปก็จะคอยบอกนุ่นเสมอว่าบางทีมันไม่จำเป็นจะต้องหนึ่งแล้วไปสองหรอก หนึ่งแล้วไปสามก็ได้มันมีวิธีของมัน เขาจะเป็นคนที่บาลานซ์ในการทำงานของเราได้ดี มีกันและกันดีค่ะ (ยิ้ม) นุ่นชอบอย่างหนึ่งนะ ท็อปเคยบอกไว้ว่าเป็นแฟนกันถ้าคิดจะแต่งงานกันต้องลองทำงานด้วยกันก่อน คือทะเลาะกันตั้งแต่ตอนเป็นแฟนไปเลย จะได้รู้ว่าเราอดทนกับเขาได้ไหม เพราะถ้าแต่งไปแล้วมันกลับลำลำบาก

ท็อป : แต่ถ้าหาวิธีไปต่อกันไม่ได้ก็เลิกเลย! จริงๆ อย่าไปรั้งเขาไว้ ผู้ชายก็อย่าเห็นแก่ตัว สมมติว่าเราเป็นผู้ชายจะจีบผู้หญิงแล้วเปย์หมดเลยทำตัวดีตั้งแต่แรก แล้วพอสุดท้ายแต่งงานปุ๊ปมันไม่ได้เปลี่ยนไปนะ มันแค่กลับไปเป็นคนเดิม คราวนี้แหละพังกันหมด ถ้าเกิดรู้ว่าทำงานด้วยกันไม่รอด ชีวิตส่วนตัวล่ะรอดไหม แต่ถ้าทำอะไรด้วยกันไม่รอดสักอย่าง เลิกเถอะ อย่าแต่งงานกันเลย

ช่วยกันสร้างธุรกิจมาตั้งแต่ตอนเป็นแฟนกัน

นุ่น : อูย ตอนเป็นแฟนกันทะเลาะกันเต็มที่มาก ตอนเป็นแฟนเวลาทะเลาะกันมันแยกบ้านกันได้ใช่ไหม บ้านใครบ้านมัน แต่พอแต่งงานแล้วมันต้องกลับบ้านเดียวกันอะ คือเราอยู่ด้วยกันแบบปาท่องโก๋มาก ไปออฟฟิศไปคุยงานด้วยกันตลอดจริงๆ

ท็อป : แต่ไม่ได้ดีนะ ผมว่ามันไม่ได้ดีหรอกอันเนี้ย คือมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ณ เวลานี้ เพราะเรามีหลายอย่างที่ต้องเซตอัพ คือต้องทำหลายอย่างด้วยกัน มันก็เลยแบบนี้ครับ แต่เรารู้อยู่ว่ามันต้องมีสเปซ บางทีนุ่นอยากไปนวดก็ต้องให้เขาไป เราก็ต้องแยกบ้านกันบ้างในบางเวลา

เป็นคู่ที่ตรงไปตรงมา ไม่โรแมนติก เรียกง่ายๆ ว่า “สายแข็ง”

นุ่น : ไม่โรแมนติกเลยค่ะ ตอบแทนเลยท็อปไม่ต้องตอบ (หัวเราะ) แล้วเราก็ถูก Treat มาตั้งแต่แรกว่าเขาไม่ได้เป็นคนโรแมนติก แล้วก็ชิน ซึ่งท็อปตอบได้ดีมาก สายแข็งแบบไหนก็แสดงธาตุแท้ตั้งแต่ต้นไปเลย มันจะทำให้เรา อ๋อ เป็นแบบนี้ไม่คาดหวัง ของขวัญไม่เกิดไม่ค่อยมี วาเลนไทน์ไม่ต้องพูดถึงไม่เคยมี เราก็จะแบบโอเคเราก็ไม่ต้องรอ คือเป็นแบบนี้ตั้งแต่เป็นแฟนกันปีแรกเลย เจ๋งปะล่ะ สายแข็ง สอนมาดีค่ะไม่กระเทือน (หัวเราะ) เราผ่านช่วงน้อยใจจนแบบช่างมันเถอะ เข้าใจละ พอเราปรับตัวได้ก็สบาย

ท็อป : เห็นไหม เราเองก็ชิว ถ้าเราไม่ได้เป็นคนโรแมนติกแบบนั้นก็อย่าฝืนเลย

ถึงจะมีธุรกิจรัดตัว งานละครก็ยังไม่ทิ้งไปไหน

นุ่น : ปีที่แล้วที่หยุดงานละครไปเพราะมาเซตอัพหลายๆ อย่างที่เราทำด้วยกัน ปีนี้ก็จะกลับไปทำงานละครแน่นอนค่ะ บอกท็อปไว้แล้วว่าจะขอลายาว อาทิตย์หนึ่งขอลาสักสี่วันไปถ่ายละคร

ท็อป : แบบนี้การเงินรั่วไหล่แน่นอน (หัวเราะ)

นุ่น : อย่าสิ! แต่นุ่นว่าแบบนี้ก็ดีค่ะ มีสเปซให้กันบ้าง จะได้มีช่วงคิดถึงกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเกินไป

ท็อป : ส่วนท็อปเองก็ทำงานพิธีกรครับ ซึ่งงานพิธีกรก็ไม่ได้ดึงเวลาตรงนี้ไปเยอะมาก เป็นอีเว้นท์บ้างเป็นรายการบ้างครับ ก็สามารถแบ่งเป็นช่วงเวลาที่ชัดเจนได้ ทำแล้วจบไปอะไรแบบนี้ครับ


สำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาเรื่องของ Eco และธุรกิจเพื่อสังคมให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น สามารถดาวโหลดหนังสือ  ECO DESIGN THAI THAI จากท็อปและนุ่น ได้ฟรี! ตามวิธีการด้านล่างนี้

How to download..

ท็อป & นุ่น กับนิยามใหม่ของคำว่า ‘รวย’ จากหนังสือ ECO DESIGN THAI THAI.Download [ FREE ] ตั้งแต่วันนี้ถึง 18 ก.พ. 60 วิธีการ :1. Download app Ookbee 2. กดปุ่มสามขีด(มุมซ้ายบน) และเลือก Promotional code3. กรอกรหัส "eco" กดปุ่ม Submit 4. อ่าน ebook ได้ที่ Cloud ของ Ookbee ทันที.รายละเอียดเพิ่มเติม pod.ookbee.com/Book/2256#ECOSHOPcommon #ECODESIGNTHAITHAI

Posted by ECOSHOP common on Sunday, 29 January 2017

ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ Eco Life ได้ทาง ecoshopcommon.bangkok

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin
Share on pinterest

More to explore